อุปกรณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งที่รถยนต์ต้องมีก็คือ ถุงลมนิรภัย หรือ Air Bag ที่จะช่วยลดแรงกระแทกบริเวณ หน้าอก ศีรษะ ทำให้ผู้ที่อยู่ในรถให้ปลอดภัย ผ่อนหนักให้เป็นเบาเมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้
ถุงลมนิรภัย ทำงานอย่างไร
ในขณะขับขี่หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นถุงลมที่มีเซนเซอร์ตรวจจับการชน และการกระแทก ที่รุนแรงผิดปกติ หรือมากเกินกำหนดถุงลมก็จะพองขยายใหญ่ขึ้นจากสารโซเดียม เอมไซด์ ที่มีการสลายตัวจนแปรสภาพเป็นโลหะโซเดียม กับแก๊สไนโตรเจน หลังจากได้รับสัญญาณความร้อนจากตัวตรวจจับการชน จึงสร้างแก๊สไนโตรเจนขึ้นมา แล้วไหลเข้าไปในถุงลมที่พับอยู่จนขยายพองขึ้น โดยแก๊สไนโตรเจนจะไม่สร้างอันตรายใด ๆ เพราะเป็นแก๊สเฉื่อย โดยถุงลมจะพองขึ้นภายในเวลาเพียง 0.04 วินาที ด้วยความเร็ว 300 กม./ชม. หลังจากนั้นถุงลมจะยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ส่วนใบหน้าของผู้ขับขี่จมลงในถุงนานมากเกินไป เพราะอาจจะส่งผลให้หายใจไม่ออก มองไม่เห็นเส้นทาง ทำให้เกิดผลร้ายมากกว่าเดิม
ถุงลมนิรภัย แบบต่าง ๆ
ถุงลมด้านหน้า – จะอยู่บริเวณด้านหน้าขวาและซ้าย ซึ่งรถในปัจจุบันจะมีถุงลมด้านหน้าติมาเป็นมาตรฐาน เพื่อช่วยปกป้องคนขับ และผู้ที่โดยสารที่นั่งข้างคนขับ หากรถมีการชน ถุงลมจะพองออกมาปกป้องส่วนหน้าอก กับศีรษะไม่ให้ได้รับการกระแทกมากเกินไป
ถุงลมด้านข้าง – อยู่บริเวณประตู หรือที่เบาะนั่ง แล้วแต่รุ่น หรือการออกแบบของผู้ผลิต การทำงานก็เหมือนถุงลมด้านหน้า ถุงลมด้านข้างถูกติดตั้งเอาไว้เพื่อป้องกันการกระแทกตรงส่วนกลาง และส่วนล่างของร่างกาย
ถุงลมป้องกันเข่า และขา – ถุงลมแบบนี้จะอยู่บริเวณใต้คอนโซลฝั่งขนขับ มีไว้เพื่อป้องกันการกระแทกช่วงขา กับเข่า และสะโพก
ถุงลมที่พื้นใต้เท้า – ถุงลมแบบนี้ช่วยลดแรงกระแทกเท้ากับพื้น รวมไปถึงผนังกั้นระหว่างห้องโดยสารและห้องเครื่องให้ลดลง ถุงลมประเภทนี้มักจะไม่ค่อยเห็น เพราะไม่เป็นที่นิยมมากนัก
ม่านถุงลม – ถุงลมนิรภัย ประเภทนี้จะช่วยป้องกันศีรษะ กับส่วนของใบหน้าไม่ให้รับแรงกระแทกที่รุนแรงมาก โดยถุงลมจะทำงานเมื่อเกิดการชนจากด้านข้างในระดับปานกลาง ไปจนถึงระดับรุนแรง โดยม่านถุงลมจะพบเห็นได้ในรถหรูราคาแพง
ถึงแม้ ถุงลมนิรภัย จะช่วยป้องกันผ่อนหนักให้เป็นเบาได้หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการขับขี่ก็ควรต้องใช้ความระมัดระวัง ไม่ควรจะประมาทจะดีกว่า เพราะเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเจ็บตัวแถมต้องมาซ่อมรถ ที่สำคัญถึงแม้จะมีถุงลมก็อย่าได้ลืมคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งเพราะจะทำให้ระบบความปลอดภัยในการขับขี่มีประสิทธิภาพมากขึ้น